โรคไข้เลือดออกเดงกี ภัยร้ายจากยุงลาย รู้ทันป้องกันไว้ก่อน
ความร้ายแรงของโรค ไข้เลือดออก ที่หลายคนทราบนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ผู้ป่วยบางท่านมีอาการวิกฤติจนถึงขั้นเข้าห้องไอซียู ให้เลือด ให้น้ำเกลือ หากร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถต้านทานไหว หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน ก็อาจส่งผลให้เสียชีวิตภายในระยะเวลาไม่กี่วันได้ ซึ่งการได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มแรกอย่างใกล้ชิดในทุกช่วงของอาการสามารถช่วยให้พ้นจากระยะวิกฤติและหายเป็นปกติได้
โรคไข้เลือดออก (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม flavivirus สามารถแพร่กระจายได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าสถานการณ์การระบาดของไข้เลือดออกในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนจะรุนแรงมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนทำให้ยุงแต่ละชนิดสามารถแพร่พันธุ์ได้มากขึ้นทำให้การแพร่กระจายของโรคเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
อาการต่างๆ ที่ทำให้สงสัยว่าอาจเป็นไข้เลือดออก ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะแรก (ระยะไข้สูง) ระยะนี้มักเบื่ออาหารไม่ค่อยมีอาการจำเพาะ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอยหลายวัน โดยมักมีไข้สูง 38.5 – 40 องศาเซลเซียส อาจมีการปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย และอาจมีอาการแสดงร่วมดังนี้
- ปวดเบ้าตา ปวดรอบกระบอกตา
- ส่วนใหญ่ตรวจพบตับโต ได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย
- มีจ้ำเลือด หรือผื่นแดงขึ้นที่บริเวณผิวหนังร่างกาย
- อาจมีอาการปวดท้อง (บริเวณชายโครงขวา) กดเจ็บบริเวณลิ้นปี่
- โดยระยะนี้มักมีอาการโดยเฉลี่ย 5 – 7 วัน
- ปัสสาวะน้อยลง ดูซึมลง หอบเหนื่อย
- มีอาการปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร
- อาจมีเลือดออกในกระเพาะ
ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน และได้รับการรักษาทันและถูกต้อง ระยะนี้จะกินเวลา 24-48 ชม.
วิธีการรักษา
การรักษาโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาจำเพาะหรือยาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อช่วยชะลอความรุนแรงและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการดำเนินของโรคให้พ้นภาวะวิกฤติ เช่น ให้ยาลดไข้ และให้น้ำเกลือร่วมรักษาภาวะขาดน้ำ ถ้ามีเลือดออกผิดปกติจะให้เกล็ดเลือดเข้มข้น หรือ สารประกอบเลือด (พลาสมา) หากมีน้ำท่วมปอดจะมีการรักษาโดยให้ออกซิเจน และยาขับปัสสาวะ หรือถ้ามีการหายใจล้มเหลวอาจจะต้องพิจารณาใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านโรคเลือดบางอย่าง เช่น ภาวะเลือดออกง่าย เพิ่งได้รับการรักษาโรคมะเร็งมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นกลุ่มที่ต้องดูแลรักษาด้วยความระมัดระวัง เพราะเมื่อเข้าสู่ระยะวิกฤติของไข้เลือดออกอาจเกิดความรุนแรงได้มาก เนื่องจากมีเลือดออกผิดปกติได้
วิธีป้องกันไข้เลือดออก..!!
1.ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อไข้เลือดออกได้ แต่สามารถเสริมภูมิด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเดงกี แบบ 2 เข็ม เพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาลด้วยวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ดังนี้
- วัคซีนไข้เลือดออก ชนิดใหม่ สามารถฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี- วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ได้ 2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4%
- ฉีดเพียงแค่ 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน โดยสามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด
กลุ่มผู้มีความเสี่ยง ที่ไม่ควรรับวัคซีน
- กลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง- ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับยาเคมีบำบัด
- หญิงตั้งครรภ์
- หญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร
2. ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ใช้สารไล่ยุงชนิดต่างๆ หรือติดมุ้งลวดใช้กันยุงในห้องนอนแบบมิดชิด
ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว ปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาดปราศจากเศษวัสดุที่อาจมีน้ำขังได้ เช่น ขวดเก่า กระป๋องเก่า เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงฤดูฝนนี้หากสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกและมีอาการไข้สูงหลายๆ วัน ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพราะหากล่าช้าเกินไป ผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ในที่สุด
ยังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เพราะสามารถติดซ้ำได้หลายครั้ง เนื่องจากไวรัสเดงกีที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ การติดสายพันธุ์หนึ่ง ๆ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เฉพาะสายพันธุ์นั้น ๆ และจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่น ๆ ได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ. ชัชวาล อึ้งธรรมคุณ แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง